คนไทยรวมถึงคนเชื้อสายจีน เกินกว่า 60% รู้สึกว่ามีจมูกแบนสั้น รูปร่างไม่สวย และต้องการให้รูปร่างจมูกโด่งสูง รูปร่างใหญ่ มีมิติของสันจมูก และปลายจมูกแบบแบบฝรั่ง จึงเข้ารับการรักษาเสริมจมูกจากคลินิกหรือโรงพยาบาลที่เกิดขึ้นมากมายทั่วประเทศไทยในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา
ซึ่งแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ที่ได้ฝึกฝนการแก้ไขความพิการของโครงสร้างร่างกาย
จะเป็นผู้ตรวจและวินิจฉัยเพิ่มเติมว่ามีปัญหาการหายใจหรือจมูกคดหรือหนังจมูกน้อย หรือหนาเกินไป ด้วยหรือไม่
การผ่าตัดเสริมจมูกที่ง่ายที่สุดคือการใส่ Silicone ที่มีรูปร่างสวยงามเข้ากับโครงสร้างจมูกของแต่ละคน เพื่อเพิ่มความสวยงามและมีมิติให้กับใบหน้า
สำหรับผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ต้องการทรง slope ปลายพุ่งและให้จมูกยาวขึ้นมองจากด้านบนทุกมุมคล้ายเป็นหยดน้ำ ศัลยแพทย์ตกแต่งรุ่นใหม่ทั่วโลกล้วนแต่ถูกสอนให้รู้ว่า ไม่ว่าทำจมูกด้วยซิลิโคนดีแค่ไหน ก็จะมีโอกาสเกิดปัญหาขึ้นได้เสมอ ถ้าขนาดและรูปร่างและความแข็งของซิลิโคนมากเกินไป ตำราเสริมจมูกก็จะห้ามไม่ให้มีซิลิโคนอยู่ที่ปลายจมูกเลย และให้ใช้ส่วนประกอบธรรมชาติที่แบ่งมาจากหู ผนังกั้นจมูกและผิวหนังร่องก้นแทน
คือ การที่จมูกถูกทำให้โด่งขึ้นยาวขึ้น โดยใช้ Silicone ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ช่องว่างปลายจมูกจะรับได้ตั้งแต่โคนถึงปลายจมูก เนื่องจาก Silicone เป็นยางตัน ที่ไม่สามารถมีร่างใยให้เส้นเลือดงอกทะลวงเข้าไป ข้างในซิลิโคนเพื่อเลี้ยงหนังที่ปลายจมูกได้เหมือนจมูกปกติจึงทำให้เกิดภาวะเส้นเลือดถูกกดดันจนหนังปลายจมูกค่อยๆ ขาดเลือดตายละลายไป ใช้เวลาการเกิดตั้งแต่ 7 วันจนถึง 2 ปี ผิวหนังจมูกบางขึ้นเรื่อยๆ เนื้อเยื่อรอบซิลิโคนที่ตายไปจะกลายเป็นพังผืดแผลเป็นหดรัด ทำให้เห็นขอบสันซิลิโคน ต่อมาปลายจมูกจะเริ่มบวมแดงลามไปถึงสันจมูกเพราะมีน้ำเหลืองที่เกิดจากไขมันและหนังรวมถึงกระดูกอ่อนปีกจมูกที่ตายละลายกระจายไปรอบซิลิโคนแล้วเกิดอักเสบติดเชื้อซิลิโคนทะลุออกมา จมูกเอียง รูจมูกไม่เท่ากัน หรือปีกจมูกเหินหดรั้งเนื่องจากผิวหนังส่วนปลายจมูกที่หดขนาดเล็กเกินไปไม่สามารถยืดตัวครอบปลายจมูกที่ใหญ่ขึ้นมากเกินไปนั้นได้
ช่วง 15 ปีที่ผ่านมาจึงเกิดมีพัฒนาการวัสดุซิลิโคนที่มีความนุ่มมากแต่เหลาให้ขึ้นทรงยากรวมถึงการใช้กระดูกอ่อน, หนังแท้จากหลังหู, ร่องก้น มาทดแทนปลายซิลิโคนที่ถูกตัดออกเพื่อจะเพิ่มโอกาสให้มีเส้นเลือดทะลุเนื้อเยื่อคลุมปลายเหล่านั้นมาลี้ยงหนังปลายจมูกได้
ต้องรู้ว่า แผลการผ่าตัดแก้ไขรูปร่างจมูกแบ่งได้ 2 วิธีใหญ่ คือ
1.1 Closed Augmentation Rhinoplasty
โดยใช้ silicone implant คือการใส่ซิลิโคนครอบบนกระดูกจมูก ผ่านทางแผลที่ขอบรูจมูกแยกกันแต่ละข้าง ซึ่งนิยมใช้เป็นตัวเลือกแรก เพราะทำง่ายกว่า ราคาถูกแต่จะไม่สามารถทำได้ ในกรณี หรือมีสันจมูกเบี้ยวอยู่ (เพราะซิลิโคน ก็จะเบี้ยวตาม) รวมถึง ผิวหนังบางตึงหรือมีแผลเป็นจากการผ่าตัดใส่ซิลิโคนแล้วทะลุ มาก่อน 60%-70% ของคนไข้ที่ใส่ซิลิโคนเสริมจมูก จะมีความสุขดีไม่มีปัญหาใดๆ เพราะหนังยืดหยุ่นได้ดี 30-40% ของคนที่ได้ใส่ซิลิโคนเสริมจมูก เสริมปลายจมูก (ที่มีขนาดใหญ่เกินไป เพื่อดันผิวหนังให้ได้ทรงปลายจมูก ที่พุ่งสวยตามที่ฝัน) ผิวหนังด้านในที่ถูกกดดันรุนแรงจนขาดเลือดมาเลี้ยงเรื้อรัง เริ่มละลายและผิวจมูกบางลง จมูกบวมแดงคล้ายเป็นสิวอักเสบ ตามมาด้วยปัญหาแผลเป็นหดรัด บิดเบี้ยว รอบๆ สุดท้ายซิลิโคนทะลุ ผิวหนังติดเชิ้อ ต้องรีบถอดซิลิโคนออก
1.2 Semiopen Rhinoplasty
การผ่าตัดแบบเปิดแผลริมปีกจมูกทั้งสองข้างเพื่อเลาะพังผืดหนา ที่ขัดขวางไม่ให้ซิลิโคนวางอยู่แนวกลางและไม่ให้ปลายจมูกยืดออกหรือใช้หนังแท้ที่แบ่งมาจากส่วนอื่น มารอง ปลายซิลิโคน ซึ่งก็อาจช่วยให้หายได้ประมาณ 70% โดยยังมีโอกาสทะลุสูงซ้ำซ้อนถึง 30% ข้อดีของการเปิดสองข้างคือการสามารถซ่อมแซมกระดูกอ่อนปีกจมูกที่ถูกทำลายไปได้เย็บประกบกระดูกอ่อนกลางจมูกให้เป็นวงรีในแนวตั้งได้ โดยไม่ต้องมีแผลขวางตรงสันแบ่งกลางรูจมูก (no columella scar) และไม่เสี่ยงภาวะหนังปลายจมูกตาย
2.1 Open Reconstruction Rhinoplasty
การปรับเปลี่ยนโครงจมูก สร้างธรรมชาติภายในจมูก โดยไม่วางซิลิโคนที่ปลายจมูก เป็นวิธีธรรมชาติที่ใช้ได้ในทุกคน หรือ คนไข้ที่มีปัญหาจมูกบางหรือมีแผลเป็นจากซิลิโคนที่เคยทะลุมาก่อน
ใช้ในกรณีที่
คือ ถ้ามีซิลิโคนทะลุหรือติดเชื้อมาก่อน ต้องรอให้แผลเดิมหาย แผลเป็นเริ่มนิ่ม ผิวหนังแข็งแรงมีเลือดมาเลี้ยงดีๆ ก่อน อย่างน้อย 8-12เดือน ก่อนที่จะผ่าตัดแก้ไข แบบ Open ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจมูกภายใน สามารถช่วยให้ปลายจมูกยืดยาวขี้น (ทดแทนการใช้ซิลิโคน ) โดยใช้อะไหล่กระดูกอ่อน จากหลังใบหู, กระดูกซี่โครง และผนังกั้นจมูกนั้นเอง
ศัลยแพทย์ตกแต่งและเสริมความงาม (PLASTIC AND RECONSTRUCTIVE SURGEON)
Copyright @ 2021. All Rights Reserved By Intrarat Hospital