ถือเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนภัยที่บอกเราได้ว่า เราอาจกำลังจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงอยู่ก็ได้
เลือดกำเดาไหล เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?
สาเหตุที่ทำให้เลือดกำเดาไหลนั้น สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ภาวะโรคในจมูก และ ภาวะร่างกายที่ผิดปกติ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- เลือดกำเดาไหลเพราะภาวะโรคในจมูก คือ อาจเกิดจากการที่ “มีก้อนในจมูก” หรือ “ก้อนเนื้องอกบริเวณหลังโพรงจมูก” รวมถึงการติดเชื้อต่างๆ ที่ทำให้มีแรงดันขึ้นไปทำให้เกิดอาการคัดจมูกหรือจาม จนเส้นเลือดฝอยแตก และเกิดเป็นเลือดกำเดาไหลออกมา หรืออาจเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุ ถูกกระแทกจนกระดูกหัก ผนังจมูกคด ก็ทำให้เลือดกำเดาไหลได้ รวมถึงการใช้ยาพ่นสเตียรอยด์รักษาภูมิแพ้ ถ้าพ่นไม่ถูกวิธี ก็อาจทำให้ผนังจมูกบางและเป็นเหตุให้เลือดออกได้เช่นกัน
- เลือดกำเดาไหลเพราะความผิดปกติของร่างกาย ได้แก่ คนที่มีโรคประจำตัว เป็นโรคเลือดที่ทำให้การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เลือดออกง่าย หยุดยาก โดยมักจะเป็นตามเยื่อบุต่างๆ เช่น เยื่อบุจมูก หรือว่าไรฟัน รวมถึงผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง คนที่เป็นโรคตับหรือคนที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดต่างๆ ก็มีโอกาสเลือดกำเดาออกได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป
เลือดกำเดาไหลแบบไหน ? เป็นสัญญาณเตือนว่าต้องไปพบแพทย์
วิธีการสังเกตอาการเลือดกำเดาไหล ว่าเป็นอันตรายร้ายแรงหรือไม่มากแค่ไหน หากพบว่ามีอาการเลือดกำเดาไหลในลักษณะดังต่อไปนี้ การรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยคือหนทางที่ดีที่สุด
1. เลือดกำเดาไหลบ่อย ไหลซ้ำบริเวณรูจมูกข้างเดิมข้างเดียวตลอด
2. เลือดกำเดาไหลปริมาณมาก แม้จะเป็นครั้งเดียวแต่ก็ควรไปพบแพทย์
3. เลือดกำเดาไหลในลักษณะเป็นก้อนลิ่มเลือด
4. เลือดกำเดาไหลนานต่อเนื่องไม่หยุดภายใน 10 นาที
5. สีของเลือดกำเดาถ้าเป็นสีแดงสด จะรุนแรงน้อยกว่าสีชมพูจางๆ
6. เลือดกำเดาไหลร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น คัดจมูก หูอื้อ รู้สึกมีก้อนในโพรงจมูกหรือที่คอ
“เลือดกำเดาไหล” เป็นปลายทางที่เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งที่ผิดปกติในร่างกาย ดังนั้นเมื่อเกิดเลือดกำเดาไหลขึ้น โดยเฉพาะยิ่งเป็นบ่อยๆ จึงไม่ควรชะล่าใจ แต่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและเข้ารับการวินิจฉัยหาสาเหตุ ทั้งนี้เลือดกำเดาไหล อาจเป็นสัญญาณเตือนโรคร้ายที่อันตรายถึงชีวิตได้ เช่น เนื้องอกในโพรงจมูก มะเร็งหลังโพรงจมูก วัณโรคหลังโพรงจมูก และสำหรับในเด็กที่ร้ายแรงที่สุดเลยคือ โรคเนื้องอกในจมูก หรือ “Juvenile Nasopharyngeal Angiofibroma” ที่มักพบได้มากในเด็กผู้ชาย อายุประมาณ 7 – 19 ปี
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเลือดกำเดาไหล
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับคนที่มีอาการเลือดกำเดาไหลเกิดขึ้นนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1.หยุดกิจกรรมทุกอย่างที่ทำอยู่ในทันที ห้ามยืน หรือเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากการหน้ามืดหมดสติและเป็นลมล้มลงได้ หากเลือดออกในปริมาณมาก
2.จัดท่าทางตัวเองให้อยู่ในลักษณะนอนเอนลงที่ไม่ให้ศีรษะต่ำจนเกินไป ให้ศีรษะตั้งสูงขึ้นมาพอประมาณ เพื่อไม่ให้เลือดไหลย้อนไปที่จมูกมากขึ้น และป้องกันการสำลัก ทั้งนี้ห้ามแหงนศีรษะขึ้นเด็ดขาด เพราะเสี่ยงต่อการทำให้สำลักเลือดได้
3.หากเลือดออกที่จมูกด้านหน้าในปริมาณมาก ให้บีบจมูก หายใจทางปาก แล้วรีบมาโรงพยาบาลทันที
4.ในกรณีที่เลือดไหลปริมาณน้อย อาจห้ามเลือดด้วยการประคบน้ำเย็น แต่ที่ช่วยได้ดีมากกว่าคือ บีบจมูกแล้วอมน้ำเย็นหรือน้ำแข็งเอาไว้ เพราะบริเวณเพดานปากเป็นตำแหน่งของเส้นเลือด การอมน้ำแข็งจึงช่วยประคบห้ามเลือดได้ตรงจุดมากกว่า
เลือดกำเดาไหล เบื้องต้นอาจเป็นอาการที่ไม่ได้น่ากังวลใจมากนัก แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่พบอาการเลือดกำเดาไหลที่ผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการทันที เพราะอาการผิดปกติคือสัญญาณเตือนของความผิดปกติของร่างกาย หรือการเป็นโรคต่าง ๆ ที่เราอาจคาดไม่ถึงก็เป็นไปได้
เป็นโรคข้ออักเสบที่เกิดจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง เมื่อระดับกรดยูริกในเลือดสูง กรดยูริกจะตกตะกอนในรูปของผลึกเกลือยูเรตในข้อต่อต่างๆ
ข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคในผู้สูงอายุที่พบได้บ่อย สถิติในประเทศไทยพบว่าในผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 65 ปี
Copyright @ 2021. All Rights Reserved By Intrarat Hospital