1.การติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย : ไวรัสที่ส่วนใหญ่ที่เป็นสาเหตุก็คือไวรัสที่ทำให้เกิดนิ่วหรือเยื่อบุผนัง แต่บางครั้งอาจเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดไซนัสอักเสบด้วย
2. การติดเชื้อจากการเกิดแผลหรือบาดเจ็บ : การบาดเจ็บในหน้าหรือในช่องจมูกอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าทำลายเนื้อเยื่อและทำให้เกิดการอักเสบ
3. การติดเชื้อจากการสูบบุหรี่หรือการสูดควัน : การสูบบุหรี่หรือสูดควันอาจทำให้เสียหายส่วนใหญ่ของเยื่อบุผนังในห้องคลอด และทำให้เกิดการอักเสบไซนัส
4. การแสดงอาการแทรกซ้อนของโรค : บางโรคอาจทำให้ระบบการทำงานของหลอดลมในช่องจมูกและใบหน้าเสียหาย เช่น โรคเยื่อบุผนังที่มีอาการเป็นเลือดหรือแพ้
การป้องกันไซนัสอักเสบส่วนใหญ่เน้นการรักษาสุขภาพที่ดีและป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งรวมถึงการล้างมืออย่างสม่ำเสมอ การป้องกันการติดเชื้อไวรัส และการหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้เกิดการอักเสบในช่องจมูกและใบหน้า เช่น การหลีกเลี่ยงควันบุหรี่และการป้องกันการบาดเจ็บในบริเวณนี้
อาการของไซนัสอักเสบ (Sinusitis) มักเกิดจากการติดเชื้อและการอักเสบของหลอดลมในช่องจมูกและใบหน้า มีอาการดังนี้
1. รู้สึกอักเสบหรือบวมบริเวณใบหน้า
2. ตึงคอหรือรู้สึกหนักในหัว
3. น้ำมูกไหลที่มีลักษณะเป็นสีเขียวหรือเหลือง
4. อาการปวดหัว
5. หายใจมีเสมหะ
6. มีไข้
ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติมได้ เนื่องจากอาการของไซนัสอักเสบอาจแสดงอาการเหมือนกับโรคอื่น เช่น ปวดฟัน การรักษาอาจจำเป็นต้องใช้ยาต่างๆ หรือการรักษาทางการแพทย์อื่นๆ ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของการติดเชื้อนั้น ๆ ของแต่ละบุคคล
การรักษาไซนัสอักเสบ สามารถทำได้ในหลายวิธีตามความรุนแรงของอาการและสาเหตุของโรค แบบการรักษาที่พบบ่อยได้แก่:
1. **การใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)**: ในกรณีที่เชื้อแบคทีเรียเป็นสาเหตุ แพทย์อาจสั่งให้ใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อโรค การรับประทานยาตามข้อบังคับที่แพทย์สั่งเป็นสำคัญเพื่อป้องกันการต้านทานยาและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
2. **ยาและการรักษาอาการ**: การใช้ยาต้านการอักเสบหรือยาลดอาการอื่น ๆ เช่น ยาลดไข้ และยาลดอาการปวด อาจช่วยลดอาการไม่สบาย สำหรับผู้ที่มีอาการน้ำมูกคั่น ยาปลดจมูกอาจช่วยลดอาการน้ำมูกคั่นได้
3. **การล้างจมูก (Nasal irrigation)**: การใช้น้ำเกลือที่ถูกต้องผสมน้ำสะอาดเพื่อล้างของเสมหะและเศษสารเคมีออกจากทางเดินหายใจสำหรับผู้ที่มีอาการน้ำมูกคั่น การใช้เครื่องล้างจมูกหรือปั๊มน้ำเกลืออาจช่วยในการลดอาการอักเสบ
4. **การผ่าตัด**: ในกรณีที่ไซนัสอักเสบเป็นเรื้อรังหรือไม่สามารถรักษาด้วยวิธีการอื่นได้ แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อเอาเสมหะหรือวัตถุเคลือบที่อาจเป็นสาเหตุของการอักเสบออก
หากคุณมีอาการของไซนัสอักเสบ ควรพบแพทย์เพื่อให้คำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณและรักษาโรคให้ได้ผลดีที่สุด
การรักษาไซนัสอักเสบอาจมีผลข้างเคียงได้ตามยาหรือวิธีการรักษาที่ใช้ ตัวอย่างได้แก่:
1. **ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)**: การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อในกรณีที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่น โรคท้องเสีย และความผิดปกติในระบบย่อยอาหาร
2. **ยาลดอาการปวดและลดการอักเสบ**: อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติเช่น ปวดท้อง ความเครียด หรือนอนไม่หลับ
3. **การรักษาด้วยการล้างจมูก**: อาจเกิดความรู้สึกแสบบริเวณใบหน้าหรือครั่นคร้ามเมื่อใช้น้ำเกลือหรือสารล้างจมูกอื่น ๆ
4. **การผ่าตัด**: หากไซนัสอักเสบรุนแรงมากและไม่ตอบสนองต่อการรักษาทางยา อาจจำเป็นต้องผ่าตัด ซึ่งอาจเกิดผลข้างเคียงจากการผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังผ่าตัด
การคำนึงถึงผลข้างเคียงเป็นสิ่งสำคัญเมื่อพิจารณาการรักษาแต่ละวิธี และควรสนทนากับแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการรักษาที่เลือกใช้
การป้องการเป็นไซนัสอักเสบ
1. **รักษาสุขภาพที่ดี**: การรักษาสุขภาพที่ดีโดยการรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจทำให้ร่างกายของคุณอ่อนแอ เช่น การสูบบุหรี่
2. **การรักษาความสะอาด**: ล้างมืออย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสตามเครื่องหมายป้องกันการติดเชื้อ
3. **การป้องกันการติดเชื้อไวรัส**: เช่น การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนที่เป็นโรคหรือมีอาการไซนัสอักเสบ การใช้หน้ากากอนามัยเมื่อคุณเป็นโรคหรือมีอาการไซนัสอักเสบ เป็นต้น
4. หลีกเลี่ยงควันบุหรี่และสารเคมีที่อาจเป็นสาเหตุของการอักเสบ เช่น กลิ่นสารเคมีที่เข้ามาผ่านทางเดินหายใจ
5. ดื่มน้ำมากๆ**: การดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้เสริมสร้างเส้นใยเยื่อบุผนัง ทำให้การละลายของเสมหะและการขับถ่ายมันได้ง่ายขึ้น และช่วยล้างเสมหะออกจากทางเดินหายใจได้ดีขึ้น
การป้องกันการเป็นไซนัสอักเสบเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรค และช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีของทางเดินหายใจได้ในระยะยาว
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโสต ศอ นาสิก และ ศัลยกรรมตกแต่ง เสริมสร้างใบหน้า
โรคอ้วน (Obesity) เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของไขมันในร่างกายมากเกินไปจนมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งสามารถนำไปสู่โรคและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ มากมาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, เบาหวานประเภท 2, โรคข้อเข่าเสื่อมและมะเร็งบางชนิด
โฟโนทรีทเม้นต์ คือ การใช้เครื่องมือที่ให้กำเนิดคลื่นเสียงในการเพิ่มการซึมผ่านโมเลกุลของครีมหรือตัวยาลงไปในชั้นผิวหนัง เช่น ยา ครีม เจล เซรั่ม วิตามินบำรุงผิวต่างๆ
Copyright @ 2021. All Rights Reserved By Intrarat Hospital