โรคต้อกระจก (Cataract)

โรคต้อกระจก (Cataract)

04/06/2568 13:29:37 | Views: 253

โรคต้อกระจก (Cataract) 

 

ต้อกระจก (Cataract) คือ โรคตาที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับเลนส์ของตาขุ่น โดยเกิดจากโครงสร้างโปรตีนของเลนส์ตาเปลี่ยนไป ไม่ใสเหมือนคนปกติทั่วไป ซึ่งเลนส์ตาจะมีลักษณะแข็งเป็นไต มีสีขุ่น อาจอยู่ตรงกลางเลนส์ตา หรือบริเวณขอบเลนส์ตาก็ได้เช่นกัน ทำให้แสงไม่สามารถผ่านเข้าไปยังจอประสาทตาได้เต็มที่ ผู้ป่วยโรคต้อกระจกจึงมีประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง ตาม้วลงในที่สุดหากไม่ได้รับการรักษา

ต้อกระจกมีอาการเป็นอย่างไร

  1. สายตาพร่ามัว เหมือนมีหมอกบัง โดยต้อกระจกหลายชนิดทำให้มองไม่ชัดในระยะไกลมากกว่าระยะใกล้
  2. มองเห็นแสงกระจายได้
  3. เห็นภาพซ้อน ผู้ป่วยบางรายในระยะแรกจะมีอาการสายตาสั้นมาก หรือเกิดอาการสายตากลับ
  4. สู้แสงสว่างไม่ได้ มองเห็นแสงไฟกระจาย โดยเฉพาะขณะขับรถในตอนกลางคืน
  5. มองเห็นสีที่ผิดเพี้ยน
  6. เมื่อต้อกระจกสุก รูม่านตาจะเป็นสีขาว ซึ่งปกติเห็นเป็นสีดำ

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดต้อกระจก

1. อายุ สุขภาพที่เสื่อมถอยลงอายุ เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เลนส์ตาเสื่อมสภาพจนโครงสร้างโปรตีนของดวงตาเสื่อม จนทำให้เกิดเป็นโรคต้อกระจก ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จึงพบเป็นต้อกระจกมากกว่าคนวัยอื่น

2. ติดเชื้อในครรภ์หรือพันธุกรรม ทำให้เป็นต้อกระจกตั้งแต่แรกเกิด

3. เกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา อุบัติเหตุทางตาทุกรูปแบบ รวมถึงการผ่าตัดตา สามารถทำให้เกิดต้อกระจกได้ทั้งสิ้น แล้วแต่ชนิดและความรุนแรงของอุบัติเหตุนั้นๆ

4. การจ้องแสงอัลตราไวโอเลต (UV) หรือแสงที่มีความสว่างมากเป็นเวลานาน หากดวงตาของเราได้รับแสง Ultravioletจากดวงอาทิตย์ ในปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดต้อกระจกได้

5. เกิดจากการใช้ยาชนิดต่างๆ เป็นเวลานาน หากมีประวัติเคยเข้ารับการรักษาทางการแพทย์และต้องใช้ยา เช่น ยากลุ่มยาสเตียรอยด์ รวมถึงเคยเข้ารับการฉายรังสี ก็สามารถเพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดต้อกระจกได้เช่นกัน

6. โรคทางตาที่เกี่ยวข้องกับต้อกระจก ส่วนใหญ่เป็นโรคที่มีภาวะแทรกซ้อนร่วมกับโรคทางตาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคม่านตาอักเสบ ลูกตาติดเชื้อหรือเคยผ่านการผ่าตัดดวงตามาก่อน ล้วนนำไปสู่การเกิดต้อกระจกได้ทั้งสิ้น

7. โรคประจำตัวและโรคทางพันธุกรรมที่มีความเสี่ยงเป็นต้อกระจก ดังนี้

7.1 โรควิลสัน เป็นโรคที่เกิดจากระบบการทำงานของตับผิดปกติ ไม่สามารถที่จะกำจัดแร่ธาตุทองแดงที่เป็นส่วนเกินออกไปได้ จนทำให้เกิดการสะสมของแร่ธาตุทองแดงเป็นจำนวนมาก หรือที่เรียกกันว่า “ภาวะทองแดงคั่งในร่างกาย” ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงของเลนส์แก้วตาจากโรคต้อกระจกด้วย

7.2 โรคเบาหวาน โรคประจำตัวที่เกิดจากความบกพร่องของการผลิตฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติซึ่งส่งผลกับดวงตาโดยตรง ที่หลายๆ คนมักจะเรียกกันว่า “เบาหวานขึ้นตา” ทำให้เกิดความเสื่อมของตาได้ในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงต้อกระจก

7.3 โรคกาแล็กโทซีเมีย เป็นโรคที่ร่างกายขาดเอนไซม์ ที่ช่วยเปลี่ยนน้ำตาลกาแล็กโทสให้เป็นน้ำตาลกลูโคส ส่งผลให้น้ำตาลกาแล็กโทสในเลือดสูงกว่าปกติ และเกิดการคั่งขึ้นในเลือด ทำให้เกิดต้อกระจกตามมาได้

 

วิธีรักษาต้อกระจก

การใส่แว่นตาตามค่าสายตาที่เปลี่ยนไปอาจช่วยแก้ไขให้มีการมองเห็นที่ชัดเจนได้มากขึ้นในช่วงแรกที่เริ่มมีอาการ แต่หากมีอาการตามัวเพิ่มมากขึ้นแพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาต้อกระจกโดยการผ่าตัด ดังนี้

1. การผ่าตัดต้อกระจกแผลใหญ่ (ECCE : Extracapsular Cataract Extraction) คือการผ่าตัดนำเอาแก้วตาออกผ่านแผลขนาดใหญ่และเหลือเพียงถุงหุ้มแก้วตาด้านหลังเอาไว้  วิธีนี้มักจะทำในกรณีที่เลนส์แก้วตาแข็งมาก เกินกว่าจะทำวิธีที่2 ได้ หรือมีข้อห้ามอื่น เช่นโรคกระจกตาเสื่อมระยะรุนแรง เป็นต้น

2. การสลายต้อกระจกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Phacoemulsification)เป็นวิธีการผ่าตัดต้อกระจกด้วยการใช้ความถี่เสียง หรืออัลตราซาวด์ที่มีความถี่สูง เพื่อเข้าไปทำการสลายและดูดเอาเลนส์ที่เป็นต้อกระจกออกมา แล้วจึงนำเลนส์ตาเทียมใส่เข้าไปแทนที่ ซึ่งวิธีการผ่าตัดนี้แม้จะมีแผลผ่าตัดขนาดเล็กและมีโอกาสทำให้เกิดค่าสายตาเอียงน้อยกว่าวิธีอื่น ใช้เวลาพักฟื้นน้อย ผลการรักษาดี สามารถเลือกชนิดของแก้วตาเทียมได้หลากหลายตามความต้องการของผู้ป่วยและตอบโจทย์ในการแก้ไขค่าสายตาได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ

 

การดูแลตนเองหลังจากการผ่าตัดต้อกระจก

  1. ขณะตื่น สวมแว่นกันแดดหรือแว่นสายตาตลอดเวลา เพื่อป้องกันอุบัติเหตุกระทบกระแทก หากไม่มีให้ครอบตาด้วยฝาครอบตาที่รพ.จัดให้
  2. ขณะนอนหลับ ให้ใช้ฝาครอบตาก่อนเข้านอนทุกคืน เพื่อป้องกันการขยี้ตาโดยไม่รู้สึกตัว
  3. ควรนอนหงายเป็นหลัก แต่สามารถนอนตะแคงได้โดยเอาตาข้างที่ผ่าตัดขึ้นด้านบน
  4. อ่านหนังสือและดูโทรทัศน์ได้ ควรหยุดพักเมื่อรู้สึกแสบตา
  5. สามารถทำกิจวัตรประจำวันเบาๆได้ เช่น เดินเล่น หรือไปทานอาหารนอกบ้าน แต่ไม่ควรก้มศีรษะต่ำกว่าเอว
  6. ไม่ควรยกของหนัก หลีกเลี่ยงการไอ จาม เบ่งอย่างรุนแรง ห้ามขยี้ตา และระวังการลื่นหกล้ม
  7. อาบน้ำได้ โดยไม่ให้น้ำเข้าตา การสระผมควรนอนสระที่ร้าน หรือให้ผู้อื่นสระให้ เพื่อไม่ให้น้ำไหลเข้าตา
  8. สามารถแปรงฟัน และล้างใบหน้าครึ่งล่างได้ โดยไม่ให้น้ำกระเด็นเข้าตา
  9. ทำความสะอาดบริเวณเปลือกตาและใบหน้า โดยใช้สำลีหรือผ้าสะอาดชุบน้ำ เช็ดหน้าและเปลือกตาจากหัวตาไปหางตา
  10. หลีกเลี่ยงการทำสวน รดน้ำ พรวนดิน ทำความสะอาดบ้าน ทำอาหารที่มีไอหรือควัน 7 วัน
  11. หยอดยาตามแพทย์สั่ง และมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
  12. ปฏิบัติตัวดังกล่าวเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ หลังผ่าตัดต้อกระจก
  13. สังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ด่วน คือ ปวดตา เคืองตามาก หนังตาบวม ตาแดง ตาบวมมากขึ้น ขี้ตามากขึ้น มีสีเหลืองหรือสีเขียว ตามัวลง

บทความน่ารู้

การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST)

การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST)

การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย EST (Exercise Stress Test) คือการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะทำงานหนัก

หูอื้อ หูดับเฉียบพลัน

หูอื้อ หูดับเฉียบพลัน

วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งโรคอันตรายที่ถือว่าเป็น… หนึ่งใน “ภัยเงียบ” ที่ทำร้ายการได้ยินของเราจนถึงขั้นอาจทำให้หูหนวกไป คือ “โรคเส้นประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลัน” ซึ่งโรคนี้จะเกิดจากสาเหตุใดและต้องรักษาอย่างไร?