รู้ไว้ไม่ผิด โรคร้ายที่ผู้หญิงต้องรู้

รู้ไว้ไม่ผิด โรคร้ายที่ผู้หญิงต้องรู้

21/11/2567 15:08:19 | Views: 8,963

ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้วไม่ว่าอายุเท่าไรก็ตาม และผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน อายุ 35 ปีขึ้นไป แนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกปีละ 1 ครั้ง เพราะเป็นการตรวจเพื่อหาระยะก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ 100%  รวมทั้งการตรวจควบคู่กับการอัลตราซาวด์ช่องท้องส่วนล่างเพื่อตรวจดูรายละเอียดที่ตัวมดลูก และรังไข่ เช่น สามารถตรวจดูเนื้องอกที่มดลูก ถุงน้ำที่รังไข่ เป็นต้น เพราะถ้าตรวจภายในและเช็คมะเร็งปากมดลูกอย่างเดียวจะไม่เห็น

สาเหตุของโรคมะเร็งปากมดลูก
สาเหตุการเกิดมะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี หรือ HUMAN PAPPILOMA VIRUS (HPV) ซึ่งมี ประมาณ 100-200 สายพันธ์ุ แต่มีประมาณ 15 สายพันธ์ุที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะสายพันธ์ุที่มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งปากมดลูกคือ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกประมาณ 70 % ของมะเร็งปากมดลูกทั้งหมด

การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) ซึ่งมักจะติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ และนอกจากนั้น ยังสามารถติดต่อทางการสัมผัสได้ด้วย (แต่จะเป็นลักษณะเหมือนพาหะที่นำพาเชื้อไปสู่ช่องคลอดได้) ซึ่งเป็นที่มาว่าคนที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ซึ่งเป็นที่มาว่าคนที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นมะเร็งปากมดลูกได้

โดยในสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว 80-90% จะเคยติดเชื้อไวรัสเอชพีวี แม้ว่าจะเป็นสามีภรรยาเพียงคู่เดียว คือทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กลับคนอื่นมาก่อนก็ตาม  ซึ่ง 90 % ของคนที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี จะหายเองโดยไม่มีอาการอะไร  เนื่องจากถ้าเป็นสายพันธ์ที่ความเสี่ยงต่ำ ร่างกายจะกำจัดเชื้อไปเองเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป  แต่ถ้าเป็นสายพันธ์ที่มีความเสี่ยงสูงก็จะใช้เวลา 10-15 ปี ในการพัฒนาไปเป็นมะเร็งปาดมดลูก จึงทำให้พบคนที่เป็นมะเร็งปากมดลูกตอนอายุ 30-40 ปีเป็นต้นไป

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก   
ผู้หญิงและผู้ชายทุกคนมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี โดยเฉพาะคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว โดยมีปัจจัยเสี่ยงดังนี้

  1. อายุ เช่น เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุน้อย โอกาสรับเชื้อก็จะมากกว่า และนานกว่า
  2. จำนวนคู่นอน ยิ่งหลายคน ความเสี่ยงจะรับเชื้อยิ่งมากขึ้น
  3. ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่  การนอนพักผ่อนที่เพียงพอ ความเครียด การมีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือต้องใช้ยาเพื่อกดภูมิคุ้มกันในการรักษาโรคนั้น
  4. การตั้งครรภ์และมีลูกหลายคน
  5. สตรีที่แต่งงานกับผู้ชายที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก
  6. มีประวัติ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น กามโรค
  7. ในสตรีที่ไม่เคยมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก หรือมาคัดกรองไม่สม่ำเสมอ

สัญญาณเตือนที่ต้องระวัง

  1. ตกขาวผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็นเน่า ปริมาณมาก
  2. เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เช่น ออกหลังมีเพศสัมพันธ์ ออกหลังจากอยู่ในช่วงวัยทอง ออกผิดปกติที่ไม่ใช่ประจำเดือนปกติ
  3. เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
  4. ปวดท้องน้อย หรือปวดอุ้งเชิงกราน

การป้องกันมะเร็งปากมดลูก แบ่งเป็น 2 แบบ
1. การป้องกันแบบปฐมภูมิ คือหมายถึงการป้องกันก่อนการติดเชื้อไวรัส เอชพีวี นั่นเอง ก็คือการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก ซึ่งมีมาประมาณ 20 กว่าปีแล้ว  ปัจจุบันมีอยู่ 3 ชนิด คือ

        1.1 ชนิดป้องกัน 2 สายพันธ์ คือป้องกันสายพันธ์ 16 และ 18  ซึ่งป้องกันได้ประมาณ 70%

        1.2 ชนิดป้องกัน 4 สายพันธ์ คือป้องกันสายพันธ์ 6,11,16,18  ซึ่งป้องกันได้ประมาณ 70%

        1.3 ชนิดป้องกัน 9 สายพันธ์ คือป้องกันสายพันธ์ 6,11,16,18,31,33,45,52,58  ซึ่งป้องกันได้ประมาณ 90%

โดยสามารถเริ่มฉีดได้ที่อายุ 9 ปี ทั้งหญิงและชาย โดยจะได้ประโยชน์สูงที่สุดคือฉีดก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก แต่ในคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้วก็สามารถฉีดได้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่ ในคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้วก่อนฉีดวัคซีน สูตินรีแพทย์มักจะแนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกก่อนฉีด

2. การป้องกันแบบทุติยภูมิ ก็คือการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก นั่นเอง ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการตรวจคัดกรองหาระยะก่อนเป็นมะเร็งปากมดลูกซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ 100%

        โดยแนะนำสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วไม่ว่าจะอายุเท่าไร ควรตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกปีละ 1 ครั้ง
และถ้าเป็นสตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ อายุ 35 ปีชึ้นไปก็ควรตรวจปีละ 1 ครั้ง
ส่วนในผู้ชาย มีการคัดกรองเชื้อเอชพีวีโดยตรวจจากปัสสาวะเท่านั้น ยังไม่มีการคัดกรองที่อวัยวะเพศเหมือนในผู้หญิง  

        2.1 Conventional pap smear คือการตรวจวิธีดั้งเดิม คือใช้ไม้พายขนาดเล็กป้ายเซลจากปากมดลูกมาป้ายบนแผ่นสไลด์ ซึ่งจะเก็บเซลล์ได้แค่ 20 %  แล้วไปย้อมสี ตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์  ซึ่งประสิทธิภาพไม่ดี

        2.2 Liquid base pap test คือการใช้เครื่องมือที่มีขนาดเล็กลง คล้ายแปรงเพื่อการเก็บเซลล์ได้ดีขึ้น มากขึ้นแล้วนำมาแช่ในน้ำยารักษาสภาพเซลล์ แล้วนำไปผ่านเครื่องตรวจ ประสิทธิภาพดีขึ้น 70-80%

        2.3 Co-testing  คือการตรวจ Liquid base pap test + HPV DNA testing หรือคือการตรวจ pap test คู่กับการตรวจดูดีเอ็นเอของไวรัสเอชพีวี ซึ่งประสิทธิภาพจะเพิ่มเป็น 90-95 %   โดยถ้าตรวจ Co-testing  แล้ว และผลปกติ สามารถตรวจ HPV DNA testing  3 ปี/ครั้งได้

        2.4 Urine HPV คือการเก็บปัสสาวะเพื่อตรวจคัดกรองหาเชื้อไวรัสเอชพีวี ซึ่งเหมาะกับการคัดกรองเชื้อเอชพีวีในผู้ชาย และใช้คัดกรองในผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ที่กังวลต่อการตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูกดังที่กล่าวมาแล้ววัตถุประสงค์ของการตรวจนี้เพื่อให้สตรีที่กลัว กล้ามาตรวจคัดกรองมากขึ้น แต่ประสิทธิภาพของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกก็ยังคงดีกว่า และไม่สามารถนำมาทดแทนกันได้ แนะนำมาพบและปรึกษาสูตินรีแพทย์จะดีที่สุด

 


บทความโดย

พญ.สิริพัฒน์   ปรีชาสนองกิจ
พญ.สิริพัฒน์ ปรีชาสนองกิจ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา


บทความน่ารู้

โรคหัวใจ (Heart disease)

โรคหัวใจ (Heart disease)

หากคุณมีความเสี่ยงต่ออาการของโรคหัวใจ เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจหรือเบาหวาน ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจสอบความเสี่ยง และดูแลสุขภาพในระยะยาว เเละหากมีอาการควรพบแพทย์ทันที

การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echo)

การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echo)

การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ที่เรียกว่า Echocardiogram,Echocardiography หรือ Echo นั้นเป็นการตรวจเพื่อประเมินประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ